สวัสดีครับ ช่วงนี้เมีข่าวเกี่ยวกับน้ำท่วมที่โน้นที่นี้อยู่เป็นประจำ
อาจจะด้วยว่าช่วงนี้ยังอยู่ในช่วงหน้าฝนอยู่ ยังงัยก็ต้องอดทน และ
ก็ดูแลสุขภาพของตัวเราเองให้ดี จนกว่าจะผ่านหน้าฝนไป วันนี้เราจึงมีบทความดีๆ เกี่ยวกับการดูแลร่างกายของเราให้พร้อม รับมือกับโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ที่มากับน้ำมานำเสนอ เรามาดูกันว่า มีโรคอะไรบ้างที่เราต้องควรระวัง และเตรียมพร้อมรับมือก่อนที่จะเจ็บป่วย กับโรคต่างๆ เหล่านี้อย่างไรบ้าง |
• เกิดจากการย่ำหรือแช่ในน้ำ ที่มีเชื้อโรค • เป็นโรคที่พบมากที่สุดจากเหตุการณ์น้ำท่วม • อาการ - ระยะแรก คันตามซอกนิ้วเท้า ผิวหนังลอกเป็นขุย มีผื่น - ต่อมา ผิวหนังที่เท้าพุพอง - เท้าเปื่อย เป็นหนอง • การป้องกัน - หลีกเลี่ยงการย่ำน้ำ หากจำเป็นควรใส่รองเท้าบูทกันน้ำ และเมื่อกลับเข้าบ้าน ควรใช้น้ำสบู่ล้างเท้าให้สะอาด เช็ดให้แห้ง - สวมเสื้อผ้าสะอาด ไม่เปียกชื้น |
2. ไข้หวัด
• พบช่วงอากาศเปลี่ยนแปลง ติดต่อได้จากการสัมผัสใกล้ชิดผู้ป่วย แพร่กระจายจากน้ำมูก น้ำลาย เสมหะ หรือของใช้ของผู้ป่วย • อาการ - ครั่นเนื้อครั่นตัว ปวดหัว ปวดเมื่อยตามร่างกาย อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร - มีไข้เล็กน้อย - คัดจมูก มีน้ำมูกใส ไอ จาม • หายได้เองภายใน 1 สัปดาห์ |
3. ไข้หวัดใหญ่
• เชื้อแพร่กระจายอยู่ในลมหายใจ เสมหะ น้ำลาย น้ำมูก และสิ่งของใช้ของผู้ป่วย • อาการ - มีไข้สูง - ปวดเมื่อยตามตัวมาก - ไอ จาม เจ็บคอ มีน้ำมูก คัดจมูก อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร • การปฏิบัติตัว - ผู้ป่วยควรใช้ผ้าปิดปากและจมูกเวลาไอ จาม หรือสวมหน้ากากอนามัย เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรค - ไม่ควรสั่งน้ำมูกแรงๆ เพราะอาจทำให้หูอักเสบได้ - กินอาหารที่ย่อยง่าย กินผัก ผลไม้ และดื่มน้ำอุ่นมากๆ - อาบน้ำหรือเช็ดตัวด้วยน้ำอุ่น แล้วเช็ดตัวให้แห้งทันที |
4. โรคปวดบวม
• หากผู้ประสบภัยน้ำท่วมสำลักน้ำ หรือสิ่งสกปรกต่างๆ เข้าไปในปอด ก็มีโอกาสจะเป็นโรคปอดบวมได้ หรือการคลุกคลีกับผู้ป่วย เมื่อไอ จาม หรือหายใจรดกัน • อาการ - มีไข้สูง ไอมาก หายใจหอบและเร็ว - บางครั้งหายใจหอบและเร็วจนเห็นชายโครงบุ๋ม เล็บมือ เล็บเท้า และริมฝีปาก ซีดหรือคล้ำ กระสับส่าย หรือซึม • เมื่อสงสัยว่าเป็นโรคปอดบวม ต้องรีบไปพบแพทย์ทันที และรับการรักษาในโรงพยาบาล |
5. โรคตาแดง
• ติดต่อกันง่าย โดยเฉพาะเด็กเล็ก ทั้งจากการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วย และจากใช้สิ่งของร่วมกับผู้ป่วย เช่น ผ้าเช็ดหน้า หรือจากแมลงวัน แมลงวี่ตอมตา • อาการ - หลังจากรับเชื้อ 1-2 วัน จะเริ่มเคืองตา ปวดตา น้ำตาไหล กลัวแสง มีขี้ตามาก หนังตาบวม ตาขาวอักเสบแดง • ผู้ป่วยมักหายได้เองภายใน 1-2 สัปดาห์ แต่ถ้าดูแลรักษาไม่ถูกวิธี อาจเกิดอาการแทรกซ้อน • การปฏิบัติตัว - เมื่อมีฝุ่น หรือน้ำสกปรกเข้าตา ควรรีบล้างตาด้วยน้ำสะอาดทันที ไม่ควรขยี้ตา อย่าให้แมลงตอมตา และไม่ควรใช้สายตามากนัก - หมั่นล้างมือให้สะอาดด้วยสบู่มากๆ - เมื่อมีอาการ ควรพบแพทย์ เพื่อรับยาหยอดหรือป้ายตา |
6. โรคติดเชื้อระบบทางเดินอาหาร
• ติดต่อจากเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกาย ทางอาหาร น้ำ ที่ปนเปื้อนเชื้อโรค เช่น อาหารที่มีแมลงวันตอม อาหารทิ้งค้างคืนไม่ได้แช่เย็นและไม่ได้อุ่นให้ร้อน • ได้แก่ โรคอุจจาระร่วง - ถ่ายอุจจาระเหลว หรือเป็นน้ำ หรือมีมูกเลือด - อาจอาเจียนร่วมด้วย อหิวาตกโรค - ถ่ายอุจจาระเหลวคล้ายน้ำซาวข้าว มีกลิ่นคาว - อาเจียน อ่อนเพลีย อาหารเป็นพิษ - ปวดท้องร่วมกับถ่ายอุจจาระเหลว - คลื่นไส้ อาเจียน - อาจจะปวดหัว ปวดเมื่อยตามเนื้อตัว โรคบิด - ถ่ายอุจจาระบ่อย มีมูกหรือมูกปนเลือด - มีไข้ ปวดท้อง และมีปวดเบ่งร่วมด้วย ไข้รากสาดน้อย หรือไข้ทัยฟอยด์ - มีไข้ ปวดหัว ปวดเมื่อยตามตัว - เบื่ออาหาร อาจท้องผูก หรือบางรายอาจท้องเสีย • การป้องกัน - ล้างมือให้สะอาดด้วยน้ำสะอาดและสบู่ทุกครั้งก่อนเตรียมและปรุงอาหาร ก่อนกินอาหาร และหลังการขับถ่าย - ดื่มน้ำสะอาด เลือกกินอาหารที่สะอาด ปรุงสุกใหม่ และเก็บอาหารไว้ในภาชนะที่มิดชิด - กำจัดสิ่งปฏิกูล ขยะ • การรักษา - ให้ผู้ป่วยดื่มน้ำหรืออาหารเหลวมากๆ ให้ดื่มสารละลายน้ำตาลเกลือแร่ผสมน้ำตามสัดส่วนที่ระบุข้างซอง (หรือทำเอง คือ น้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ เกลือป่นครึ่งช้อนชา ละลายในน้ำต้มสุกที่เย็นแล้ว 1 ขวดกลม) - หากมีอาการมากขึ้น เช่น อาเจียนมาก ไข้สูง ชัก หรือซึมมาก ให้ไปพบแพทย์ - ไม่ควรกินยาให้หยุดถ่าย เพราะจะทำให้เชื้อโรคค้างอยู่ในร่างกาย ซึ่งจะเป็นอันตรายมาก |
7. โรคฉี่หนู
• โรคฉี่หนู หรือ เลปโตสไปโรสิส ติดต่อจากหนูสู่คน เชื้อมากับปัสสาวะสัตว์ปนเปื้อนอยู่ในน้ำท่วมขัง พื้น ดินที่ชื้นแฉะได้นาน เมื่อผิวหนังแช่น้ำ เชื้อจะเข้าร่างกายทางบาดแผล รอยขีดข่วน รอยถลอก หรือไช้เข้าเยื่อบุตา จมูก ปาก หรือผิวหนังที่แช่น้ำนาน หรือติดเชื้อจากอาหารที่หนูฉี่รด • อาการ - หลังรับเชื้อ 4-10 วัน โดยจะมีไข้สูงทันทีทันใด ปวดหัว และปวดกล้ามเนื้อมาก โดยเฉพาะน่อง โคนขา หรือหลัง - บางคนตาแดง อาจเจ็บคอ เบื่ออาหาร หรือท้องเดิน • การป้องกัน - สวมรองเท้าบูทยางกันน้ำ หากต้องลุยน้ำ ย่ำโคลน - หลีกเลี่ยงการแช่น้ำ ย่ำโคลนนานๆ เมื่อขึ้นจากน้ำแล้วต้องรีบอาบชำระร่างกายให้สะอาดโดยเร็วที่สุด - รับประทานอาหารที่ปรุงสุก เก็บอาหารในภาชนะที่มิดชิด - ดูแลที่พักให้สะอาด • การรักษา - รีบไปพบแพทย์ ถ้าไม่รีบรักษา บางรายอาจมีจุดเลือดออกตามผิวหนัง ไอมีเลือดปน หรือตัวเหลือง ตาเหลือง ปัสสาวะน้อย ซึม สับสน กล้ามเนื้อหัวใจอาจอักเสบและเสียชีวิตได้ |
8. ไข้เลือดออก
• มียุงลายเป็นพาหะ • อาการ - ไข้สูงตลอดวัน ประมาณ 2-7 วัน - ปวดหัว ปวดเมื่อยตามตัว มักคลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง เบื่ออาหาร ส่วนใหญ่ หน้าแดง อาจมีจุดเล็กๆตามลำตัว แขน ขา - ต่อมา ไข้จะเริ่มลง ในระยะนี้ต้องระวังเป็นพิเศษ เพราะอาจเกิดอาการรุนแรงได้ ผู้ป่วยจะกระสับกระส่าย มือเท้าเย็น หรือเลือดออกผิดปกติ อาจมีภาวะช็อค และเสียชีวิตได้ • การป้องกัน - ระวังอย่าให้ยุงกัด กำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุง • การรักษา - รีบพาไปพบแพทย์ - ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัว ห้ามใช้ยาแอสไพริน ใช้ยาลดไข้พาราเซตามอล |
9. โรคหัด
• ติดต่อกันได้ง่าย ทั้งการไอ จาม หรือพูดกันในระยะใกล้ชิด พบในช่วงฤดูฝน • อาการ - หลังรับเชื้อ 8-12 วัน จะเริ่มมีไข้ น้ำมูกไหล ไอ ตาแดง ตาแฉะ พบจุดขาวเล็กๆขอบแดงในกระพุ้งแก้ม - จากนั้น 1-2 วันแรก ไข้จะขึ้นสูง สูงเต็มที่ในวันที่ 4 เมื่อมีผื่นขึ้น โดยผื่นจะนูนแดงติดกันเป็นปื้นๆ ขึ้นที่ใบหน้าชิดขอบผม แล้วแพร่กระจายไปตามตัว แขน และขา ต่อมาไข้จะเริ่มลดลง ส่วนผื่นจะสีเข้มขึ้นแล้วค่อยจางในเวลา 2 สัปดาห์ - ในเด็กที่มีภาวะทุพโภชนาการ หรือในเด็กเล็ก อาจมีโรคแทรกซ้อน เช่น หูอักเสบ หลอดลมอักเสบ ปวด อักเสบ สมองอักเสบ อาจเสียชีวิตได้ • การป้องกัน - ฉีดวัคซีนป้องกัน หลีกเลี่ยงการสัมผัสผู้ป่วย รักษาสุขอนามัย • การดูแลรักษา - รักษาตามอาการ ถ้าไข้สูงมากควรให้ยาลดไข้เป็นครั้งคราว ร่วมกับเช็ดตัว ไม่จำเป็นต้องให้ยาปฏิชีวนะ |
ที่มา : สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)